10 สาเหตุ ชาร์จแบตช้า ที่ทำให้แบตเตอรี่โทรศัพท์ชาร์จแบตได้ช้า และวิธีการแก้ปัญหา

20115

10 สาเหตุ ชาร์จแบตช้า ที่ทำให้แบตเตอรี่โทรศัพท์ชาร์จแบตได้ช้า และวิธีการแก้ปัญหา

คอลลาเจน ผิวหน้าขาวที่ดีที่สุด รีวิว 2023

ชาร์จแบตช้า สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่โทรศัพท์ชาร์จแบตได้ช้า และวิธีการแก้ปัญหา? แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟน หรือโทรศัพท์ในสมัยนี้นั้น  ถือได้ว่าพัฒนาไม่ทันตามความแรงของเครื่อง  ที่แต่ละวันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่รอดไม่ครบวัน  ซึ่งการแก้ปัญหาเบื้องต้นก็คือ  การยัดแบตความจุใหญ่ๆมาให้  แต่ว่าปัญหาที่เชื่อว่าหลายๆ คนคงเจอกันบ่อยๆ ก็คือ การชาร์จไฟ  ไม่ว่าจะเป็น ชาร์จช้า หรือ ชาร์จไม่เข้า ซึ่งสาเหตุนั้นก็มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน  วันนี้เราลองมาดู 10 สาเหตุที่ทำให้ชาร์จแบตเตอรี่มือถือช้า และวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้กันครับ


10 สาเหตุ ชาร์จแบตช้า ที่ทำให้แบตเตอรี่โทรศัพท์ชาร์จแบตได้ช้า และวิธีการแก้ปัญหา

ใช้สายชาร์จที่มีปัญหา

1. ใช้สายชาร์จที่มีปัญหา

เมื่อเราเจอปัญหาการชาร์จไฟช้า  สิ่งแรกที่เราควรตรวจสอบก็คงหนีไม่พ้นสายชาร์จของเราก่อนครับ  เพราะสายชาร์จนั้นเป็นส่วนที่เสียหายง่ายที่สุด   อาจจะเกิดจากการที่เราหักงอ  หรือสายไฟด้านในขาด  นอกจากนี้การที่เราเสียบเข้า  เสียบออก อยู่บ่อยๆ  ก็อาจจะทำให้เขี้ยวที่เอาไว้ล็อคบริเวณ microUSB นั้นหักได้ครับ  ซึ่งปัญหาการชาร์จไฟช้าส่วนใหญ่ก็จะเกิดจากการที่ใช้สายชาร์จที่มีปัญหานี่แหละครับ  และในการใช้สายที่ไม่มีคุณภาพ ขายกันแบบเหมาโหลราคาถูกๆ  หรือสายที่ยาวเกินไป  ก็อาจจะเป็นสาเหตุของการชาร์จช้าได้เช่นกันนะครับ

วิธีการแก้ปัญหา : ก็ลองเปลี่ยน สายชาร์จ ดูก่อนครับ  เลือกสายที่ดูดีแข็งแรงนิดนึง  ถ้าหากว่าเปลี่ยนสายชาร์จแล้วยังเจอปัญหาชาร์จไฟช้าอยู่  ก็แสดงว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สายชาร์จแล้วล่ะครับ

ที่จ่ายไฟมีกำลังไม่พอ

2. ที่จ่ายไฟมีกำลังไม่พอ

ถ้าหากว่าเราลองเปลี่ยนสายชาร์จดูแล้ว  ก็ยังเจอปัญหาชาร์จไฟช้าอยู่ ลำดับต่อมาที่เราต้องดูก็คือ  แหล่งจ่ายไฟของเรามีกำลังไฟพอหรือเปล่า  ซึ่งถ้าหากว่าเราชาร์จกับช่อง USB ของคอมพิวเตอร์  มันก็แน่นอนอยู่แล้วครับว่ามันต้องช้า  ถึงแม้ว่าจะเป็นช่อง USB 3.0 ก็ตาม  ก็เพราะว่ากระแสที่ปล่อยออกมานั้น  น้อยกว่าที่ชาร์จไฟแบบผนัง (wall charging) ทั่วไป  อยู่เกือบเท่าตัวเลยทีเดียวครับ

ส่วนการชาร์จด้วยแท่นชาร์จแบบไร้สาย (wireless charging) ก็จะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งเหมือนกันนะครับ  ถึงแม้ว่า Samsung Galaxy Note 5 และ Galaxy S6 edge+  จะมาพร้อมกับ Wireless Fast Charge ก็ตาม  แต่ถ้าเทียบกันกับการชาร์จผ่านที่ชาร์จไฟทั่วไปแล้ว  ก็ยังถือว่าช้ากว่าอยู่ดี  และมันมีเฉพาะ Note 5 และ S6 edge+ อีกด้วย

วิธีการแก้ปัญหา : ก็ง่ายๆ เลยครับ  ให้ใช้ที่ชาร์จไฟแบบผนัง  แทนการชาร์จไฟผ่านพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์  และการชาร์จด้วยแท่นชาร์จแบบไร้สาย  โดยถ้ามือถือของคุณรองรับเทคโนโลยีการชาร์จไฟแบบเร็ว (Fast Charger Technology) อย่าง Qualcomm QuickCharge หรือ VOOC flash charge  ก็สามารถช่วยให้ชาร์จไฟได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกันครับ

อะแดปเตอร์มีปัญหา

3. อะแดปเตอร์มีปัญหา

ข้อที่แล้วนั้นเราพูดถึงกำลังไฟของที่จ่ายไฟว่าแต่ละอย่างนั้นมีกำลังไฟที่ถูกส่งออกมาไม่เท่ากัน  ซึ่งทางที่ดีก็คือใช้ที่ชาร์จไฟแบบผนัง  หรือที่เรียกว่าอะแดปเตอร์  แต่ใช่ว่าอะแดปเตอร์นั้นจะไม่มีปัญหานะครับ  เพราะว่าอะแดปเตอร์โทรศัพท์มันก็สามารถมีปัญหาได้เช่นเดียวกัน

อย่างเช่นหากว่าเกิดแผงวงจรภายในมีปัญหา  ก็จะส่งผลให้กำลังไฟที่ออกมาน้อยเกินไป  ทำให้ชาร์จไฟมือถือได้ช้ากว่าปกติ  หรืออีกอย่างคือแผงวงจรภายในนั้นเกิดลัดวงจร  ก็มีสิทธิที่จะระเบิดได้เลยครับ

วิธีการแก้ปัญหา : ถ้าเกิดเพื่อนๆเห็นว่าชาร์จไฟช้า  ให้ลองทำการเปลี่ยนอะแดปเตอร์ดูครับ  และอย่าใช้ที่ชาร์จที่มีราคาถูกเกินไป  เพราะคุณภาพอาจจะไม่ได้มาตรฐานครับ

โทรศัพท์เก่าแล้ว

4. โทรศัพท์เก่าแล้ว

อันนี้จะไม่ได้จะบอกให้ไปซื้อใหม่นะครับ  แต่ว่ามันก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้การชาร์จนั้นช้าลงไปได้เหมือนกัน  ถ้าหากว่าเทียบกันกับมือถือรุ่นใหม่ๆ ที่รองรับ fast charge แล้วละก็  จะเห็นได้ถึงความเร็วในการชาร์จที่แตกต่างกันอย่างมากเลยครับ  แต่ใช่ว่ามือถือรุ่นใหม่ๆ จะสามารถชาร์จไฟได้เร็วอยู่ทุกรุ่นนะครับ  มันก็ขึ้นอยู่กับซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์ของแต่ละรุ่นอีกด้วย

วิธีการแก้ปัญหา : ก็คงต้องขอข้ามวิธีแก้ปัญหานี้ไปละกันนะครับ  เพราะทางแก้ก็อยู่ในกระเป๋าเงินของคุณแล้ว  แต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนรุ่นเก่าเป็นทุนแล้ว  ลองไปตั้งขายใน  ห้องซื้อ-ขายโทรศัพท์มือสอง  และอุปกรณ์ต่างๆ ของเราดูได้ครับ

เล่นเกมชาร์จโทรศัพท์

5. ตัวเราเองเล่นเกมชาร์จโทรศัพท์

การใช้งานมือถือของเราขณะที่ชาร์จแบตอยู่ด้วย  ก็มีผลต่อความเร็วในการชาร์จเหมือนกันนะครับ  อย่างใครที่ชอบเล่นเกม หรือใช้งานหนักๆ ในระหว่างการชาร์จไฟอยู่  ก็คงเคยเจอปัญหาชาร์จไฟช้า  หรือบางทีชาร์จไฟแล้วไม่เข้าเลย  แถมยังลดอีกตะหาก  ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาของตัวเราเอง  ไม่ได้เกิดจากเครื่องเลยครับ

อีกอย่างที่ต้องระวังก็คือ  การใช้งานระหว่างการชาร์จไฟอยู่  อาจจะทำให้เกิดความร้อนได้  ซึ่งจะส่งผลกระทบไปยังแบตเตอรี่ของเราได้  และถ้าโชคร้ายสุดๆ  ก็อาจจะทำให้เกิดการระเบิดขึ้นได้ครับ

วิธีการแก้ปัญหา : งดใช้งานมือถือระหว่างชาร์จ  หรือใช้งานเบาๆ  อย่าเล่นเกม  หรือทำงานหนักๆ ในระหว่างการชาร์จครับ  วางมือถือแล้วไปคุยกับคนในครอบครัวระหว่างชาร์จก็ได้นะ

แบตเตอรี่โทรศัพท์เสื่อมสภาพ

6. แบตเตอรี่โทรศัพท์เสื่อมสภาพ

ในสมัยนี้ เพื่อนๆจะเริ่มจะเห็นว่ามือโทรศัพท์ถือเรือธงส่วนใหญ่  เริ่มที่จะตัดฟีเจอร์ในการถอดเปลี่ยนแบตออกไป  เหลืออยู่เพียง LG เจ้าเดียวเท่านั้น  ที่ยังสามารถถอดเปลี่ยนแบตด้วยตัวเองได้อยู่  ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์  แบตเตอรี่ของเราเกิดเสื่อมสภาพขึ้นมา  ก็อาจจะมีผลทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น  และชาร์จไฟได้ช้าลงก็เป็นได้

วิธีการแก้ปัญหา : ข้อนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณซื้อมือถือแบบไหนมาครับ  ถ้าซื้อแบบเปลี่ยนแบตได้ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ง่ายๆ  แต่ถ้าสำหรับที่ใช้มือถือที่ถอดเปลียนแบตด้วยตนเองไม่ได้แล้วล่ะก็  คงต้องส่งเข้าศูนย์  หรือหาร้านที่รับเปลี่ยนแบตครับ
แบ็คกราวน์แอปจอมดูด

7. แบ็คกราวน์แอปจอมดูด

ถึงแม้ว่าหน้าจอของเราจะเป็นส่วนที่ดูดแบตมากที่สุดแล้ว  แต่ว่าเหล่า แอปต่างๆ  ที่เราโหลดมาใช้  ก็จะมีส่วนเช่นเดียวกันนะครับ  บางทีแอปเหล่านั้นก็มีการเรียกใช้งานขึ้นมาช่วงที่เราไม่ได้ใช้งานอยู่ด้วย  หรือที่เราจะเรียกว่าแบ็คกราวน์แอป (background app) และจะดูดแบตของเราไปเรื่อยๆ  ทำให้แบตของเราหมดไวขึ้นกว่าปกติ  แต่หลังๆ  มานี้ระบบ Android ก็เริ่มที่จะจัดการเรื่องแอปแบบนี้ได้ดีมากขึ้นครับ

ปัญหาแบ็คกราวน์แอปดูดแบต  อาจจะไม่ทำให้การชาร์จแบตมือถือของเราช้าลง  แต่ว่ามันจะส่งผลกระทบทางอ้อมมากว่าครับ  เพราะอาจจะทำให้แบตหมดเร็วขึ้น  เมื่อแบตหมดเร็วขึ้นแล้ว  เราก็ต้องชาร์จบ่อยขึ้น  อันจะส่งผลให้แบตเสื่อมสภาพไวขึ้น  และอาจจะทำให้สายชาร์จ  หรือที่ชาร์จของเราเสียหายได้ครับ

วิธีการแก้ปัญหา : ลองดาวน์โหลดแอป Task Manager ต่างๆ  มาดูว่าแอปไหนแอบใช้งานในแบ็คกราวน์อยู่  แล้วก็ลองลบแอปเหล่านั้น  ดูซิว่าแบตเรายังโดนดูดเหมือนเดิมหรือไม่ครับ

สาย USB

8. ช่องเสียบสาย USB เสียหาย

สาย USB เสียหายปัญหาที่กล่าวมาด้านบนส่วนใหญ่แล้ว  จะสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าเกิดว่าช่องเสียบ USB ของเราเสียขึ้นมาแล้วละก็  จะเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะครับ  เพราะเราจะไม่สามารถแก้ไขได้เองเลย  ช่องเสียบ USB จะเสียหายได้  ต้องเกิดจากการกระทบกระเทือนทางกายภาพ  อย่างเช่นถูกทำหล่น หรือพยายามเสียบสาย USB แต่ดันเสียบผิดด้าน  ถ้าหากว่ามือถือยังอยู่ในประกันก็ถือว่าโชคดีไปครับ  แต่ถ้าหมดประกันไปแล้ว  ก็ต้องส่งซ่อมอย่างเดียว

วิธีการแก้ปัญหา : ปัญหานี้แก้ด้วยตนเองไม่ได้นะครับ  ต้องส่งศูนย์ หรือ ส่งซ่อม อย่างเดียว

สายชาร์จ USB โทรศัพท์

9. ช่องเสียบสายชาร์จ USB โทรศัพท์ถูกขวาง

ช่องเสียบ สายชาร์จ USB โทรศัพท์ นั้นอาจจะไม่ค่อยมีคนใส่ใจเท่าไหร่นัก  เพราะคิดว่าปัญหาอาจจะไม่ได้เกิดจากตรงนี้  ซึ่งจริงๆ แล้ว  ช่องเสียบ USB ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง  ที่จะทำให้การชาร์จไฟนั้นช้าได้เหมือนกันนะครับ  ส่วนใหญ่แล้ว  เราจะใส่มือถือของเราไว้ในกระเป๋ากางเกง  หรือไม่ก็ในกระเป๋าถือ  ซึ่งมันมีโอกาสที่จะถูกฝุ่น หรือเศษผ้าเข้าไปอุดรูได้นะครับ

ซึ่งถ้าหากว่าเราไม่ได้สังเกตุดูที่ช่องเสียบ USB ดีๆแล้ว  ว่ามีอะไรขวางอยู่หรือไม่  แล้วเสียบที่ชาร์จบ่อยๆ  อาจจะทำให้สิ่งสกปรกเหล่านั้น  ฝังลึกและพอกพูนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  และจะขวางไม่ให้กระแสไฟจากหัวชาร์จเข้าไปยังเครื่องได้ครับ

วิธีการแก้ปัญหา : ใช้ไฟฉายส่องช่องเสียบ USB ดูว่ามีฝุ่นหรือเศษผ้าอยู่หรือไม่  โดยใช้ไม้แคะฟันแบบพลาสติก  หรือแปรงสีฟันแห้งๆ ขัดดู  ก็ช่วยได้เยอะเหมือนกันนะครับ

สายชาร์จ USB

10. ช่องเสียบสายชาร์จ USB ถูกกัดกร่อน

การถูกกัดกร่อนที่ช่องเสียบ สายชาร์จ USB อาจจะเกิดขึ้นได้  จากเหงื่อหรือความชื้น ซึ่งการกัดกร่อนเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นแบบทันทีนะครับ  แต่ว่าจะเป็นการสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ  ถ้าเกิดว่าเราไม่จัดการก่อน  ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาชาร์จไฟไม่เข้าได้  เพราะว่าถูกสนิมหรือการกัดกร่อน  ขวางขั้วไฟเอาไว้ครับ  ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่รีบจัดการและปล่อยไว้เรื่อยๆ  ปัญหาก็อาจจะลามไปยังส่วนอื่นๆ ได้เช่นเดียวกันครับ

วิธีการแก้ปัญหา : ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองครับ  แต่ว่าถ้าใครไม่รู้เรื่อง  หรือไม่ชำนาญ  ก็อย่าลงมือทำเองดีกว่าครับ  ส่วนวิธีการจัดการกับช่องเสียบ USB ที่ถูกกัดกร่อนนั้น  ก็คงต้องเริ่มจากการแกะเครื่องออกมาก่อนนะครับ  หลังจากนั้นก็ใช้น้ำส้มสายชูป้ายเบาๆ  ในบริเวณที่ถูกกัดกร่อน แต่ต้องระวังอย่าให้เข้าเครื่องนะครับ  ไม่งั้นพัง  เมื่อเราป้ายน้ำส้มสายชูเสร็จ ก็ให้รอประมาณ 5-8 นาที  แล้วจึงใช้ผ้าขนหนูเช็ดออกจนคราบนั้นหมดไป เสร็จแล้วจึงใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดซ้ำอีกรอบ  และปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 30 นาที  แล้วจึงประกอบเครื่องกลับเข้าไปครับ

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้  จะช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้มือถือเกิดการชาร์จช้า  หรือว่าชาร์จไฟไม่เข้านะครับ  ถ้าหากว่าเพื่อนๆ มีข้อมูลอื่นๆ ก็สามารถบอกกันเพิ่มเติมได้นะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : Android Authority

สายชาร์จ samsung ของแท้